เพศ (สถานะภาพ)
หญิง (โสด)

สัญชาติ
ไทย

ศาสนา
ไทย

วันเกิด (อายุ)
21-เมษายน-2542    อายุ 26ปี

ส่วนสูง/น้ำหนัก
160 Cm    หนัก 45 Kg

สถานะภาพทางทหาร
-

จังหวัด (เขต)
กรุงเทพมหานคร (ราษฎร์บูรณะ, ทุ่งครุ)

การติดต่อที่สะดวก
โทรศัพท์ , Email

สาขาวิชาชีพ
คหกรรมศาสตร์/เสื้อผ้า/สิ่งทอ

ลักษณะงานที่ต้องการ
งานประจำ (Full Time) , งานอิสระ (Freelance)

ระดับเงินเดือนที่ต้องการ
0บาท ขึ้นไป

แก้ไขข้อมูลล่าสุด
22 ต.ค. 2568

เข้าระบบครั้งสุดท้าย
22 ต.ค. 2568

การศึกษา จบการศึกษาแล้ว ในปี พศ. 2565

ประสบการณ์ทำงานทั้งหมด 4 ปี

พิมพ์ดีด
ไทย คำ/นาที    อังกฤษ คำ/นาที

ความสามารถการขับขี่
รถยนต์ ,

ยานพาหนะส่วนตัว
รถยนต์ ,

โครงการ/ผลงาน
ผลงานวิจัยผ้าขาวม้าร้อยสีจังหวัดกาญจนบุรี ตีพิมพ์วารสารแห่งชาติ
บทที่ 1
บทนำ
ความสำคัญและที่มาของปัญหาที่ทำการวิจัย
ผ้าขาวม้า เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่คนไทยใช้มาแต่โบราณ เริ่มใช้กันตั้งแต่สมัยเชียงแสน คนไทยส่วยใหญ่ใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง สามารถใช้นุ่งอาบน้ำ เช็ดตัว คลุมหัวกันแดด หรือทำเปลก็ได้ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าผ้า "ผ้าเคียนเอว" การใช้งานของผ้าขาวม้าเกิดขึ้นอย่างหลากหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากผ้าคาดเอวก็มาเป็นผ้าสำหรับห่ออาวุธ เก็บสัมภาระ ใช้ปูพื้น ใช้นุ่งอาบน้ำ เป็นต้น
ผ้าขาวม้ามีลักษณะเป็นผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างประมาณ 2 ศอก ยาวประมาณ 3-4 ศอกซึ่งเหมาะเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับความสูงของผู้ชายโดยทั่วไป ความกว้างจึงเท่ากับระยะจากเอวถึงกลางหน้าแข้ง ความยาวเท่ากับระยะพันรอบตัวแล้วเหลือเศษอีกเล็กน้อย โดยมากทอเป็นลายตารางเล็กๆ นิยมใช้ด้ายหลายสี อย่างไรก็ตาม ผ้าสีเดียว ที่มีขนาดเท่ากับผ้าขาวม้าลายตารางหมากรุกแบบนี้ หากนำมาใช้นุ่งสำหรับผู้ชาย ก็นิยมเรียกผ้าขาวม้าเช่นกัน ผ้าขาวม้าในประเทศไทยมีชื่อเรียกแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับท้องถิ่น ซึ่งคำว่าผ้าขาวม้า เป็นภาษาทางภาคกลาง ส่วนในภาคอีสานบางแห่งเรียกว่าผ้าแพร ซึ่งมักจะได้จากการทอด้วยเครื่องทอผ้าที่เรียกว่า กี่ และจะทอเป็นขนาดยาวประมาณ 20-30 เมตร ต่อการทอแต่ละครั้งแล้วจึงตัดแบ่งออกเป็นผืน ผืนละ 1 วา หรือ ประมาณ 1 เมตรครึ่ง ดังนั้น บางท้องถิ่นจึงเรียกว่าผ้าแพรวา เรียกตามความยาวของผ้าแต่ละผืน
จากประวัติที่ชาวบ้านหนองขาวต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติ (ที่แห้งแล้ง) ภัยจากศึกสงคราม และการดูแลที่ไม่ทั่วถึงของฝ่ายปกครอง เนื่องจากเป็นพื้นที่ชายแดนของอำเภอท่าม่วงทำให้ชาวนาหนองขาวไทยโดยทั่วไป โดยเฉพาะผู้หญิงในครอบครัวจะทอผ้าสำหรับใช้เองและคนในครอบครัว ซึ่งการทอนั้นจะใช้กี่มือ เส้นด้ายก็จะใช้ฝ้ายปั่นเอง จึงขาดง่ายทำให้ผ้าทอช้ามากและคุณภาพไม่ค่อยดี ผ้าทอส่วนมากเป็นผ้านุ่ง ผ้าห่ม และผ้าขาวม้า
ต่อมาเมื่อความเจริญได้แผ่กระจายจากสังคมเมืองสู่ชนบท แนวความคิดบริโภคนิยมที่มาจากประเทศทางตะวันตก ทำให้การทอผ้าในชนบทลดน้อยลง แต่ชาวบ้านหนองขาวยังคงรักษาประเพณี กิจกรรมของชาวชนบทไทยสืบมา เมื่อ พ.ศ. 2524 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดสอนการทอผ้าด้วยกี่กระตุกขึ้นที่ตำบลทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ให้กับสมาชิกกลุ่มแม่บ้านตำบลทุ่งสมอ และได้จัดกลุ่มทอผ้าทุ่งสมอขึ้น แต่ก็ประสบปัญหาด้านการจัดการและการตลาด ทำให้กลุ่มทอผ้าทุ่งสมอไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ คุณอารีรัตน์ พฤฑฒิกุล ซึ่งได้เข้าร่วมอบรมครั้งนั้นด้วย ได้นำปัญหาของกลุ่มทอผ้า ทุ่งสมอเป็นกรณีศึกษา ถึงปัญหาและวิธีการดำเนินการแก้ไข บวกกับความรู้ที่ได้
จาก การอบรม มาจัดตั้งกลุ่มทอผ้าหนองขาวขึ้นในกลุ่มสตรีอาสาพัฒนาตำบลหนองขาว ซึ่งกลุ่มพัฒนาฯ ก็มีการแบ่งกลุ่มต่าง ๆ ตามความสนใจหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มทำดอกไม้ประดิษฐ์ กลุ่มทอผ้า กลุ่มเลี้ยงสัตว์ ประกอบกับได้รับการส่งเสริมประชาสัมพันธ์อย่างจริงจัง จึงทำให้ “ผ้าขาวม้าร้อยสีของดีบ้านหนองขาว” เป็นที่แพร่หลายและรู้จักกันอย่างกว้างขวาง มีการส่งเสริมโดยการจัดงาน “สืบสานประเพณีของดีบ้านหนองขาว” โดยสำนักงานการส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้จัดการแสดง แสง สี เสียง เป็นงานใหญ่
คุณสมบัติของผ้าทอหนองขาว จะมีสีสดใส ลวดลายแปลกตา เนื้อผ้าจะเป็น มันวาวคล้ายผ้าไหม ดูแลรักษาง่าย ซักรีดตามปกติ ไม่ยืดไม่หด สีไม่ตก สวมใส่สบาย ไม่อบร้อน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เนื่องจากเป็นผ้าที่ทอขึ้นจากเส้นด้วย “ไหมประดิษฐ์” ที่มีการคัดเลือกอย่างดีและผ่านการพิสูจน์เป็นเวลานานจากผู้ใช้ทั้งในหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียง ส่วนลวดลายสีสันจะเป็นไปตามจินตนาการของผู้ทอ ซึ่งเป็น ภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ผู้ที่ต้องการใช้ผ้าทอหนองขาว ยังสามารถที่จะออกแบบเฉพาะของตนเองได้ตามลวดลายและสีสันที่ต้องการ ซึ่งคุณอารีรัตน์ และกลุ่มสมาชิกกลุ่มทอผ้ารับรองว่า เป็นผ้าทอที่มีคุณภาพดี สีสดใส ลวดลายแปลกตา แต่ราคาถูกใจ ผ้าทอหนองขาวจึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของผู้ที่แสวงหาของฝากที่ ถูกตาในราคาที่ถูกยุค จากเมืองกาญจน์
วัตถุประสงค์ในการโครงการวิจัย
1.เพื่อการส่งเสริมการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้า
2.เพื่อพัฒนารูปแบบเสื้อผ้าจากผ้าขาวม้าโดยใช้แนวคิดภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกับแนวคิดการออกแบบแฟชั่น
3.เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนารูปแบบเสื้อผ้าจากผ้าขาวม้าสู่บ้านหนองขาว จังหวัดกาญจนบุรี

ความสำคัญของการวิจัย
ผลของการศึกษาจะเป็นแนวทางการส่งเสริมและพัฒนารูปแบบเสื้อผ้าจากผ้าขาวม้าสู่ชุมชนบ้านหนองขาว จังหวัดกาญจนบุรี
ขอบเขตการวิจัย
กลุ่มประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ มุ่งศึกษากลุ่มประชากร เพื่อศึกษาข้อมูลความพร้อมสำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้า โดยการศึกษาความพึงพอใจในการพัฒนารูปแบบเสื้อผ้าจากผ้าขาวม้า ได้แก่ สุภาพสตรีอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 20ปี–35ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร
กลุ่มตัวอย่าง
นักศึกษาผู้หญิงชั้นปี 1 – 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีเสื้อผ้าและแพตเทิร์น
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ได้นำรูปแบบผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเผยแพร่
2.ได้องค์ความรู้การสร้างสรรค์จากผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมแนวคิดออกแบบแฟชั่น
3.ได้เผยแพร่การพัฒนารูปแบบเสื้อผ้าจากผ้าขาวม้าร้อยสีสู่ชุมชนบ้านหนองขาว จังหวัดกาญจนบุรี
นิยามศัพท์
ผ้าขาวม้า หมายถึง ผ้าขาวม้ามีลักษณะเป็นผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างประมาณ 2 ศอก ยาวประมาณ 3-4 ศอก เป็นผ้าสำหรับผู้ชายใช้นุ่งแบบลำลอง ความกว้างจึงเท่ากับระยะจากเอวถึงกลางหน้าแข้ง ความยาวเท่ากับระยะพันรอบตัวแล้วเหลือเศษอีกเล็กน้อย โดยมากทอเป็นลายตารางเล็กๆ นิยมใช้ด้ายหลายสี
แฟชั่น หมายถึง เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า fashion ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำนี้ว่า "สมัยนิยมหรือวิธีการที่นิยมกันทั่วไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง" เป็นการยอมรับจนเกิดเป็นค่านิยม มีกระบวนการเกิดภาษาใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น